การให้ปุ๋ยทางใบ
บทความจากหนังสือ : การให้ปุ๋ยทางใบ / ยงยุทธ โอสถสภา. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2557.
วัตถุประสงค์ของการใช้ปุ๋ยทางใบ
การใช้ปุ๋ยทางใบมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเสริมการใช้ปุ๋ยทางดินใน 2 กรณีคือ
1) เสริมเมื่อการใช้ปุ๋ยทางดินให้ผลช้า
ในกรณีที่ปลูกพืชแล้วและทราบภายหลังว่าดินมีบางธาตุไม่เพียงพอ เป็นเหตุให้การเจริญเติบโตของพืชต่ำกว่าปรกติ การใส่ปุ๋ยซึ่งมีธาตุดังกล่างทางดินร่วมกับการใช้ปุ๋ยทางใบ จะเร่งให้พืชเจริญเติมโตตามปรกติได้เร็วกว่าการใช้ปุ๋ยทางดินเพียงอย่างเดียว
2) เสริมเมื่อการใช้ปุ๋ยทางดินให้ผลไม่ได้ตามเป้าหมาย ยกตัวอย่างเช่นหลังจากใช้ปุ๋ยฟอสเฟตทางดินแล้ว ผลการวิเคราะห์พืชยังแสดงว่า ความเข้มข้นของฟอสฟอรัสในใบดรรชนี (index leaves) หรือใบที่เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ มีค่าต่ำกว่าความเข้มข้มระดับวิกฤต (critical level)
ข้อดีและข้อจำกัดของการใช้ปุ๋ยทางใบ
ข้อดี
1.การใส่ปุ๋ยลงไปในดินต้องคำนึงถึงการเคลื่อนย้ายของปุ๋ยในดิน การตรึงธาตุอาหาร และ ความเข้มข้นของธาตุเหล่านั้นที่เป็นประโยชน์ต่อพืช สิ่งเหล่านี้เป็นยุ่งยากสำหรับดินที่มีปัญหา เช่น ดินกรด ดินด่าง และดินอินทรีย์ เป็นต้น
2.ในหลายกรณีการให้ปุ๋ยทางใบมีประสิทธิภาพสูงกว่าใส่ในดิน โดยเฉพาะธาตุอาหารพวกจุลธาตุ การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของวิธีการใส่ปุ๋ยชนิดหนึ่งอาจดูจากการตอบสนองด้านการเจริญเติบโต การเพิ่มผลผลิต การแก้ไขอาการขาดธาตุอาหาร เป็นต้น
3.ในบางจังหวะของการให้ปุ๋ยจำเป็นต้องเลือกวิธีการที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพืชแสดงอาการขาดธาตุอาหารในระยะวิกฤต เช่น ก่อนออกดอก ในจังหวะนี้ไม่มีวิธีใดที่จะให้ผลดีและรวดเร็วเท่าการให้ทางใบ หากใช้วิธีอื่นอาจไม่ทันท่วงทีและกระทบกระเทือนต่อผลผลิตอย่างรุนแรง
4.การให้ปุ๋ยทางใบจะได้ผลดีกับพืชที่มีพื้นที่ผิวใบทั้งหมดสูง คือ ใบใหญ่และใบมาก เพราะจะรับละอองปุ๋ยไว้ได้มาก วิธีนี้จึงได้ผลดีกับพืชใบเลี้ยงคู่ เช่น ไม้ผล ผักต่างๆ ยิ่งว่าพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่ใบเรียวเล็ก
5. การให้ปุ๋ยทางใบในระยะเจริญพันธุ์เพื่อการเสริมการใช้ปุ๋ยในดินให้ผลดีในธัญพืชหลายชนิด เนื่องจากในช่วงดังกล่าวความสามารถในการดูดธาตุอาหารของรากมักลดลง ขณะที่การเคลื่อนสารต่างๆที่มีธาตุอาหารเป็นองค์ประกอบไปเลี้ยงดอกและเมล็ดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ใบเสื่อม (senescence) ก่อนเวลาอันสมควร การใช้ปุ๋ยทางใบเพื่อเสริมธาตุอาหารที่พืชขาดแคลน จะช่วยชะลอความเสื่อมของใบไปได้อีกระยะหนึ่ง และใบดังกล่าวยังทำหน้าที่สังเคราะห์แสงต่อไป
6.นอกจากปุ๋ยทางใบจะช่วยแก้ปัญหาการขาดธาตุอาหารซึ่งได้ผลรวดเร็วแล้ว การใช้ปุ๋ยทางใบอย่างเหมาะสมกับพืชผักและไม้ผล ยังช่วยให้คุณภาพของผลผลิตบางลักษณะดีขึ้นด้วย
7.พืชซึ่งอยู่ในสภาวะที่มีความเค้น (Stress) จากธรรมชาติ เช่น อุณหภูมิสูงและแห้งแล้ง หรือมีการจัดการผิดพลาด เช่นขาดน้ำ และขาดธาตุอาหาร จะได้รับความกระทบกระเทือนด้านเมทาบอลิซึมจนกระบวนการด้านสรีระขัดข้อง เช่น บูรณภาพ (integrity) ของเนื่อเยื่อเสื่อมลง การใช้ปุ๋ยทางใบช่วยซ่อมแซมความชำรุดของบางกลไก ให้บรรเทาความเสียหายจากความเค้น ที่เกิดกับไม้ผลยืนต้นบางชนิดลงได้บางส่วน การฉีดพ่นด้วยปุ๋ยแคลเซียม โบรอน ทองแดง และ สังกะสี ช่วยบรรเทาความเสียหายจากสาเหตุดังกล่าวได้ระดับหนึ่ง (Andrew,2002)
ข้อจำกัด
1.ควรถือว่าการให้ปุ๋ยทางใบเป็นวิธีเสริมธาตุหลัก ที่ใส่ทางดินแล้วไม่เพียงพอ มิใช่ใช้แทนการให้ทางดิน ในกรณีของธาตุรองและจุลธาตุก็ใช้ปุ๋ยทางใบแก้ปัญหาความขาดแคลนเฉพาะหน้า ในระหว่างการะปรับปรุงดิน
2.พืชหลายชนิดไม่ค่อยตอบสนองต่อการใช้ปุ๋ยทางใบ เนื่องจากใบมีขนาดเล็กและพื้นที่ผิวใบทั้งหมดน้อย จึงรับละอองสารละลายปุ๋ยได้น้อยเกินไป
3.หากใช้สารละลายปุ๋ยที่มีความเข้มข้นสูงเกินไป อาจเกิดอาการใบไหม้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ปุ๋ยจุลธาตุจะต้องระมัดระวังเรื่องความเข้มข้นที่ใช้อย่างมาก มิฉะนั้นอาจะเกิดความเสียหายได้
4.โดยปกติปุ๋ยที่ใช้มักเป็นสารอนินทรีย์สาร ซึ่งกัดกร่อนถังตลอดจนอุปกรณ์การพ่นปุ๋ยยิ่งกว่ายาปราบศัตรูพืชทั่วไป จึงควรล้างอุปกรณ์ให้สะอาดเมื่อใช้งานเสร็จแล้ว
5.ในบางภูมิภาคของประเทศที่มีฝนตกชุก น้ำฝนจึงมักชะล้างปุ๋ยที่อยู่บนผิวใบ หากปลอดฝนอย่างน้อย 3 วันหลังการฉีดพ่นปุ๋ยจะได้ผลดี
6. ปุ๋ยทางใบมีราคาต่อหน่วยน้ำหนักธาตุอาหารสูงกว่าปุ๋ยทางดิน จึงควรใช้เฉพาะกรณีที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น และใช้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องเพื่อให้ได้ผลคุ้มค่า